ซีดี (Compact Disc) เป็นผลของเทคโนโลยีที่ร่วมมือกันระหว่างบริษัทโซนี่และบริษัทฟิลิปส์ เพื่อผลิตซีดีในลักษณะของแผ่นเพลงซีดีระบบดิจิทัล (Compact Disc-Digital Audio : CD-DA) ขึ้นมาเพื่อใช้แทนแผ่นเสียงขนาด 12 นิ้วที่ใช้กันอยู่ขณะนั้น โดยมีการประกาศใช้มาตรฐานแผ่นซีดีในปี พ.ศ.2523 และผลิตแผ่นเพลงซีดีออกมาครั้งแรกในปี พ.ศ.2525 ลักษณะเฉพาะของแผ่นซีดีที่ผลิตนี้จะมีการบันทึกข้อมูลในระบบดิจิทัล ซึ่งเป็นตัวเลข 0 และ 1 และใช้แสงเลเซอร์ในการบันทึกและอ่านข้อมูล นอกจากนี้ ลักษณะเฉพาะจะเกี่ยวข้องถึงขนาดของ “หลุม” (pits ) และ “พื้น” (land) ของการบันทึกข้อมูลที่มีการจัดเรียงเป็นวงก้นหอย และรวมถึงลักษณะอื่นๆ ด้วย การประกาศมาตรฐานของซีดีนี้รู้จักกันในนามของ “เรดบุ๊ก” (Red Book) โดยเรียกจากสีแดงที่พิมพ์บนแผ่นปกกล่องซีดีเพื่อเป็นหลักประกันว่าแผ่นเพลงซีดีที่จะผลิตต่อจากนี้ไป จะเป็นมาตรฐานสากลเดียวกันทั้งหมด โดยสามารถเล่นในเครื่องเล่นเพลงซีดีใดๆ ก็ได้ มาตรฐานนี้ทำได้ง่าย เนื่องจากแผ่นเพลงซีดีบันทึกเฉพาะเสียงเพลงเท่านั้น ขณะนี้ได้มีการนำแผ่นซีดีมาบันทึกข้อมูลในรูปแบบอื่นๆ ได้แก่ ตัวอักษร ภาพกราฟิก ภาพกราฟิกเคลื่อนไหว และภาพเคลื่อนไหวแบบวีดิทัศน์
ซีดีมีลักษณะเป็นแผ่นพลาสติกแบนกลม ผิวหน้าเคลือบด้วยโลหะสะท้อนแสงเพื่อป้องกันข้อมูลที่บันทึกไว้ มีทั้งขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 และ 12 เซนติเมตร และมีรูกลมตรงกลางเรียกว่า “hub” ขนาด 15 มิลลิเมตร ซีดีแผ่นหนึ่งมีความจุข้อมูลตั้งแต่ 680 – 700 เมกะไบต์ สามารถเล่นได้นาน 74 – 80 นาที
แผ่นซีดีสามารถบันทึกข้อมูลได้หลากหลายประเภท ได้แก่
การอ่านข้อมูลบนแผ่นซีดีจะเกิดขึ้นเมื่อแสงเลเซอร์โฟกัสไปยังพื้นผิวแผ่น ถ้าแสงเลเซอร์โฟกัสไปยังจุดหรือ “หลุม” ข้อมูลจะไม่มีการสะท้อนแสงมากนัก ทำให้มีแสงสะท้อนกระจายกลับมาที่หัวอ่านน้อยหรือแทบจะไม่มีเลย ซึ่งจะเป็นสภาวะของการอ่านข้อมูล ในทางกลับกันถ้าโฟกัสไปยังเนื้อที่ที่เป็นส่วน “พื้น” ที่อยู่ระหว่าง “หลุม” จะมีการสะท้อนแสงมาก ซึ่งหมายถึงว่าแสงส่วนมากจะสะท้อนกลับมายังหัวอ่านของเครื่องเล่น และจะไม่มีการอ่านข้อมูลเกิดขึ้น ถ้าหัวอ่านแสงอ่านที่หลุมจะแปลงเป็นสัญญาณดิจิทัลในรูปตัวเลข 1 แต่ถ้าอ่านที่พื้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น และแปลงเป็นสัญญาณดิจิทัลในรูปตัวเลข 0 รูปแบบของการ “เปิด - ปิด” นี้ จะถูกแปลความหมายโดยการกล้ำสัญญาณซึ่งเป็นการถอดรหัสโดยเครื่องเล่นเข้าสู่ส่วนข้อมูล
การบันทึกเสียงเพลงลงแผ่นซีดี เป็นการแปลงสัญญาณเสียงในระบบแอนะล็อกให้เป็นสัญญาณดิจิทัล โดยใช้มาตรฐาน MPEG (อ่านว่า “เอ็มเพ็ก” ย่อมาจาก Moving Picture Experts Group) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สร้างขึ้นเพื่อการบีบอัดภาพและเสียง
เสียงตามมาตรฐาน MPEG (MPEG Audio) ที่ใช้กันในขณะนี้สำหรับแผ่นซีดีมี 3 รูปแบบ คือ
MP3 เป็นการเข้ารหัสแบบ Huffman ซึ่งเป็นลักษณะขนาดความยาวรหัสแปรผันได้ ซึ่งเมื่อนำมาประกอบร่วมกับธรรมชาติของการได้ยินแล้ว จะทำให้สามารถลดขนาดข้อมูลลงได้มากกว่า 20% เมื่อนำมาเข้ารหัส Huffman มาใช้ร่วมกับการบีบอัดสัญญาณแล้ว ยิ่งทำให้ใช้เนื้อที่ในการบันทึกน้อยลงมากกว่าเดิม เพลงรูปแบบ MP3 ความยาว 3 นาที จะใช้เนื้อที่ในการบรรจุเพียง 3 เมกะไบต์เท่านั้น ในขณะที่เพลงที่บันทึกด้วย MPEG 1 บนแผ่นซีดีเพลงธรรมดาความยาว 1 นาที จะใช้เนื้อที่ถึง 10 เมกะไบต์ ทำให้แผ่นซีดี MP3 บรรจุได้ร้อยกว่าเพลง แต่ถ้าเป็นแผ่นซีดีธรรมดาจะบรรจุได้ประมาณ 20 เพลงเท่านั้น อย่างไรก็ตามแผ่นซีดี MP3 มีข้อจำกัดอย่างหนึ่ง คือ ใช้เล่นได้เฉพาะกับเครื่องเสียงเฉพาะรุ่นที่ระบุว่าเล่น MP3 ได้ หรือเล่นกับคอมพิวเตอร์ที่มีโปรแกรมเล่นเพลงประเภทนี้ แต่แผ่นซีดีเพลงธรรมดาจะเล่นได้กับเครื่องเล่นซีดีทั่วไป
การจับแผ่นซีดี
แผ่นซีดีจะมี 2 ด้าน คือ ด้านหน้าพิมพ์ด้วยซิลก์สครีนเป็นชื่อแผ่น ด้านหลังมีลักษณะเป็นสีรุ้งมันวาวซึ่งเป็นส่วนบันทึกข้อมูล เมื่อจับแผ่นซีดีต้องระวังอย่าให้นิ้วมือโดนด้านบันทึกข้อมูล เนื่องจากจะเกิดความสกปรกทำให้การอ่านผิดพลาดได้ การจับแผ่นจึงควรจับเฉพาะริมขอบแผ่นและส่วนกลางแผ่นเท่านั้น
การวางแผ่นซีดี
เครื่องเล่นซีดีจะมีการใช้งานในลักษณะการอ่านข้อมูลบนแผ่นด้วยแสงเลเซอร์ การวางแผ่นซีดีบนถาดของเครื่องเล่นจึงต้องวางให้ด้านที่มีชื่อแผ่นอยู่ด้านบนเพื่อให้แสงเลเซอร์ส่องผ่านขึ้นมาเพื่ออ่านข้อมูลด้านล่างของแผ่น
แผ่นซีดีควรมีการดูแลเก็บรักษาดังนี้
แหล่งที่มา
*เว็บสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร
*http://www4.eduzones.com/offy/4185
สอบถามเพิ่มเติม